613 จำนวนผู้เข้าชม |
ถ้าฝั่งญี่ปุ่นมีแม่พิมพ์ Chiyoda ฝั่งอเมริกาก็คงต้องเป็นแม่พิมพ์ Nordic Ware ต้องบอกว่าพิมพ์เค้ก Nordic Ware มีความคล้ายคลึงกับพิมพ์เค้ก Chiyoda ของญี่ปุ่นในแง่ของการออกแบบที่สวยงามและคุณภาพสูง ทั้งสองแบรนด์นี้มีชื่อเสียงในด้านการสร้างสรรค์พิมพ์เค้กสไตล์ยุโรป ที่ทำให้เค้กออกมาดูดีและมีเนื้อสัมผัสที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่ทำให้ Chiyoda แตกต่างคือดีไซน์ที่เน้นความเป็นญี่ปุ่น มีความประณีตและความละเอียดสูง วัสดุทำจากโลหะและอลูมิเนียมที่นำไปผ่านการชุบเคลือบผิวอีกชั้น ส่วน Nordic Ware มีดีไซน์ที่หลากหลายและเน้นพิมพ์เค้ก Bundt ที่เป็นเค้กที่มีรูตรงกลาง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์ยุโรปกลาง
ประวัติของพิมพ์ Nordic Ware
ย้อนกลับไปปี 1946 Dave และ Dotty Dalquist สองสามีภรรยาได้ก่อตั้งบริษัท Nordic Ware ขึ้นในเมือง Minneapolis, Minnesota ตอนแรกพวกเขาผลิตเครื่องครัวอลูมิเนียมที่ทนทานและใช้งานง่าย แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาผลิตพิมพ์เค้กที่ชื่อว่า "Bundt Pan" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแม่พิมพ์เค้กแบบดั้งเดิมของยุโรปกลาง
Bundt Cake และความคล้ายกันของ Gugelhupf
มาแนะนำให้รู้จัก Bundt Cake กันอีกนิดนะคะ Bundt Cake เป็นเค้กที่มีรูตรงกลางและมีลวดลายสวยงามที่เกิดจากการใช้พิมพ์ Bundt Pan ซึ่ง Bundt มาจากคำว่า "Bund" ในภาษาเยอรมันที่แปลว่ากลุ่ม เค้กลักษณะนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเค้ก Gugelhupf ที่มีต้นกำเนิดจากเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ และแพร่หลายมายังอเมริกาเมื่อครั้งที่ชาวยุโรปอพยพมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเค้ก Gugelhupf จะใช้ยีสต์เป็นส่วนผสมหลัก ทำให้เนื้อเค้กนุ่มฟูและเบา
สาเหตุที่ทำให้พิมพ์ Nordic Ware และ Bundt Pan เป็นที่นิยมในอเมริกา
เราอาจสงสัยว่าอะไรที่ทำให้พิมพ์ของ Nordic Ware กลายเป็นที่นิยมในอเมริกา ทั้งๆ ที่เป็นพิมพ์เค้กสไตล์ยุโรป ทุกอย่างเริ่มต้นในปี 1966 เมื่อคุณ Ella Helfrich ใช้พิมพ์ Bundt Pan ในการประกวดทำขนม Pillsbury Bake-Off ซึ่งเป็นกิจกรรมของบริษัท Pillsbury ผู้ผลิตแป้งผสมสำเร็จรูปรายใหญ่ และชนะรางวัลรองชนะเลิศด้วยสูตร “Tunnel of Fudge Cake” เค้กที่เธอทำมีเนื้อฟัดจ์ตรงกลางที่ยังคงเหลว ทำให้ทั้งกรรมการและผู้ชมตื่นเต้นมาก เพราะไม่คิดว่าแป้งผสมสำเร็จรูปจะทำอะไรที่ซับซ้อนได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพิมพ์ Bundt Pan ที่มีความหนา และมีรูตรงกลาง ทำให้ความร้อนเข้าไปทำให้บริเวณขอบ ๆ เค้กสุก ในขณะที่ตรงกลางยังมีความเป็นฟัดจ์อยู่ ความสำเร็จนี้ทำให้ยอดขายของ Bundt Pan พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล และกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
สูตร Tunnel of Fudge Cake
ถึงแม้ว่าแป้งสำเร็จรูปของ Pillsbury ที่คุณ Ella นำมาใช้แข่งจะเลิกผลิตไปแล้ว เรามีสูตร “Tunnel of Fudge Cake” มาฝากค่ะ
ส่วนผสม
- เนย 1 3/4 ถ้วย (400 กรัม)
- น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย (350 กรัม)
- ไข่ไก่ 6 ฟอง
- น้ำตาลไอซิ่ง 2 ถ้วย (240 กรัม)
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย (240 กรัม)
- ผงโกโก้ 3/4 ถ้วย (75 กรัม)
- วอลนัท (สับละเอียด) 2 ถ้วย (240 กรัม)
- ผงฟัดจ์ 1 แพ็ค (ถ้ามี)
ขั้นตอนการทำ
1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 350°F (175°C) และทาเนยใน Bundt Pan เพื่อป้องกันการติดพิมพ์
2. ตีเนยและน้ำตาลทรายจนเนียนนุ่ม จากนั้นทยอยใส่ไข่ทีละฟองและค่อยๆตีให้เข้ากันในชามขนาดใหญ่
3. ผสมน้ำตาลไอซิ่ง แป้งสาลี และผงโกโก้เข้าด้วยกันในชามอีกใบ
4. ค่อย ๆ เติมส่วนผสมแห้งลงในส่วนผสมเปียก ตีให้เข้ากันจนเนื้อเนียน จากนั้นใส่วอลนัทและผสมให้เข้ากัน
5. เทส่วนผสมเค้กลงใน Bundt Pan และอบในเตาอบที่อุณหภูมิ 350°F (175°C) ประมาณ 60-65 นาที
6. ปล่อยให้เค้กเย็นในพิมพ์ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วแกะเค้กออกจากพิมพ์และปล่อยให้เย็นสนิทบนตะแกรง
การทำเค้ก “Tunnel of Fudge” ให้มีเนื้อฟัดจ์ตรงกลางที่เหลวและเข้มข้นนั้น ต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการเตรียมและอบ ดังนี้ค่ะ
1. **การใช้ผงฟัดจ์**: ผงฟัดจ์ (chocolate fudge) เป็นส่วนผสมหลักที่ช่วยให้เค้กมีความเข้มข้นและเหนียว ทำให้เกิดชั้นฟัดจ์ตรงกลางหลังการอบ หากไม่มีผงฟัดจ์ สามารถใช้ผงโกโก้และน้ำตาลไอซิ่งในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้ได้เนื้อเค้กที่เข้มข้น
2. **การควบคุมเวลาอบ**: การอบเค้ก “Tunnel of Fudge” ต้องใช้เวลาอบที่พอเหมาะ เพื่อให้เนื้อเค้กสุกถึงระดับที่ต้องการ แต่ยังคงมีชั้นฟัดจ์ตรงกลางที่เหลวอยู่ หากอบนานเกินไป ชั้นฟัดจ์อาจจะแห้งเกินไป ทำให้เสียเนื้อสัมผัสที่ต้องการ
3. **การผสมส่วนผสมอย่างถูกต้อง**: ควรผสมเนยและน้ำตาลให้เนียนนุ่มก่อนใส่ไข่และส่วนผสมแห้งลงไป การตีส่วนผสมให้เข้ากันอย่างดีจะช่วยให้เนื้อเค้กมีความสม่ำเสมอและเนียนนุ่ม
4. **การใช้ไข่เป็นส่วนผสมหลัก**: ไข่ช่วยให้เนื้อเค้กมีความเข้มข้นและเพิ่มความชุ่มชื้น ควรใช้ไข่ที่มีอุณหภูมิห้องในการผสม เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดีและเนื้อเค้กไม่แห้ง
5. **การใส่วอลนัทหรือถั่วอื่น ๆ**: การใส่วอลนัทหรือถั่วอื่น ๆ ที่สับละเอียดในเนื้อเค้กจะเพิ่มความกรุบกรอบและช่วยให้เนื้อเค้กมีความหลากหลาย นอกจากนี้ถั่วยังช่วยดูดซับความชุ่มชื้นและเพิ่มเนื้อสัมผัสที่น่าสนใจให้กับเค้ก
6. **การปล่อยให้เค้กเย็นในพิมพ์**: หลังจากอบเสร็จ ควรปล่อยให้เค้กเย็นในพิมพ์อย่างน้อย 1 ชั่วโมง การปล่อยให้เค้กเย็นในพิมพ์จะช่วยให้ชั้นฟัดจ์ตรงกลางยังคงเหลวและไม่แห้งเกินไป
การทำเค้ก “Tunnel of Fudge” ให้มีเนื้อฟัดจ์ตรงกลางที่เหลวและเข้มข้นนั้น ต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการเตรียมและอบ การใช้ผงฟัดจ์ การควบคุมเวลาอบ การผสมส่วนผสมอย่างถูกต้อง การใช้ไข่เป็นส่วนผสมหลัก การใส่วอลนัทหรือถั่วอื่น ๆ และการปล่อยให้เค้กเย็นในพิมพ์ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เค้กนี้มีเนื้อฟัดจ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ แล้วคุณจะสามารถทำเค้ก “Tunnel of Fudge” ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างแน่นอน!